ถ้าพูดถึงสัตว์เลี้ยงทุกคนคงนึกถึงสุนัข แมว กระต่าย หรือนกกันใช่มั้ย? แต่จริงๆแล้วสัตว์เลี้ยงไม่ได้มีอยู่แค่นี้ เราจะขอเสนอนำเสนอสัตว์เลี้ยงที่แปลกๆ แปลกไม่ได้หมายถึงน่ากลัวเสมอไป ดูอย่างสัตว์เลี้ยงพวกนี้สิว่าจะน่ารักขนาดไหน
วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559
เต่าเสือดาว
เต่าเสือดาว นับเป็นเต่าบกอีกชนิดหนึ่งที่มีความสวยงาม
จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลกหรือสัตว์ต่างถิ่น
ในที่เลี้ยงเต่าสามารถเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้เพียง 6 ปี
พฤติกรรมในการผสมพันธุ์จะเริ่มจากเต่าตัวผู้จะเป็นฝ่ายเปล่งเสียงคำรามออกทางจมูก หลังผสมพันธุ์ตัวเมียจะวางไข่ซึ่งมีจำนวนระหว่าง
5-18 ฟอง โดยการขุดรูฝังไว้ใต้ทราย เต่าเสือดาวแอฟริกาใต้
ขยายพันธุ์ในสถานที่เลี้ยงได้ยากกว่าเต่าเสือดาวธรรมดา
เต่าเสือดาว
เป็นเต่าที่กินพืชเป็นอาหาร โดยมีหญ้าและผักใบเขียวเป็นอาหารหลัก
นอกจากนี้แล้วยังสามารถกินลูกแพร์หนาม ตลอดจนลำต้นและผลของต้นพืชอวบน้ำได้ด้วย
โดยมีพฤติกรรมหาของกินตลอดทั้งวัน เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 12-15
ปี
ขอขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
Spotted Genet
เจ้าตัวน้อยหน้าตาเหมือนแมวนี้ จริงๆแล้วมันแค่คล้ายนะ จะเรียกว่าเป็นแมวป่าก็คงไม่ผิดนัก
สัตว์เลี้ยงแปลกๆ ตัวนี้ถูกนำเข้ามาจากแอฟริกา
และเรามีคลิปเจ้าSpotted Genet น่ารักๆมาฝากด้วยค่ะ
วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559
โอพอสซัม
อีกชนิดหนึ่งที่จะนำเสนอคือ...โอพอสซัม
กายภาพและลักษณะ
โอพอสซัม
เป็นสัตว์ที่มี ถุงหน้าท้องขนาดกลาง มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าแมวทั่วไป และ
ขนาดเล็กที่สุดเท่ากับหนูขนาดเล็ก
ตัวโอพอสซัมเป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชและเนื้อเป็นอาหาร สัตว์จำพวกนี้
จะมีลักษณะที่มีจมูกยาว กะโหลกแคบ และ มีปุ่มกระดูกบริเวณกระหม่อม
การจัดเรียงของฟันมีลักษณะแบบ ซึ่งเป็นรูปแบบของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีฟันเต็มส่วนกราม
ซึ่งจะมีเขี้ยวที่มีขนาดใหญ่กว่าฟันอื่น ๆ โอพอสซัมนั้น
เป็นสัตว์ที่เดินโดยใช้ฝ่าเท้าราบไปกับพื้น นิ้วหัวแม่มือสามารถพับขวางฝ่ามือได้
ซึ่งเหมือนก้นกับ ลิงยุคใหม่ และมีถุงหน้าท้องในตัวเมีย กระเพาะอาหารแบบเรียบง่าย
และ มีลำไส์ขนาดเล็กตัวโอพอสซัม มีระบบภูมิคุ้มกันที่น่าทึ่ง
สามารถแสดงความต้านทานของพิษ จากงูหางกระดิ่ง
และงูพิษชนิดอื่นๆได้บางส่วนหรือทั้งหมดของพิษเรายังพบอีกว่าโอพอสซัมมีโอกาสน้อยมากที่จะเป็นตัวพาหะของโรคพิษสุนัขบ้าโดยมีเพียงแค่ 1 ใน 800 ตัวเท่านั้นที่จะติดเชื้อโรคนี้การสืบพันธุ์และวงจรชีวิตเนื่องจากมันเป็นสัตว์มีถุงหน้าท้อง
จึงมีมดลูกฝังอยู่ภายในส่วนของกระเป๋าหน้า และเจริญเติบโตขึ้นในรก ตามปกติ แล้วพวกมันจะให้กำเนิดลูกในฤดูหนาวหลังจากที่พวกมันตั้งครรภ์แล้ว 12-14 วัน และลูกพอสซั่มที่เพิ่งเกิดใหม่จะหาทางเข้าไปอยู่ในถุงหน้าท้องของแม่และทำการติดพวกมันไว้กับหัวนมของแม่ตามปกติแล้วตัวพอสซั่มอ่อนวัยจะใช้เวลาถึง 70-125 วัน ในถุงหน้าท้องก่อนที่พวกมันจะย้ายออกมาเกาะติดที่หลังของแม่เป็นเวลาอีกประมาณ 2 เดือน
โดยทั่วไปพอสซั่มจะมีลูกอ่อนวัยเพียงแค่หนึ่งตัวในเวลาเดียวกันและลูกอ่อนวัยของมัน
จะโตเต็มที่ในเวลาสิบเดือนถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปีเพื่อที่จะเจริญเติบโตเต็มวัยที่สามารถจะสืบพันธุ์ได้
การหาอาหาร
โอพอสซัม เป็นสัตว์ที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ จึงทำให้ตัวโอพอสซัมมีการกินอาหารที่กว้างมาก ในปัจจุบันอาหารของมันคือพวกซากสัตว์ที่ตายแล้ว ซึ่งพบมากในบริเวณทางรถยนต์ แต่ตามธรรมชาติแล้วพวกมันจะกินแมลง กบ นก งู สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก ตัวบุ้ง และ ไส้เดือน ตัวโอพอสชั่มยังชอบกินผลไม้บางประเภท เช่น อาโวกาโด แอปเปิ้ล คลีเมนไทน์ พลับ และขยะที่เกิดจากกิจกรรมต่างๆของมนุษย์
โอพอสซัม เป็นสัตว์ที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ จึงทำให้ตัวโอพอสซัมมีการกินอาหารที่กว้างมาก ในปัจจุบันอาหารของมันคือพวกซากสัตว์ที่ตายแล้ว ซึ่งพบมากในบริเวณทางรถยนต์ แต่ตามธรรมชาติแล้วพวกมันจะกินแมลง กบ นก งู สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก ตัวบุ้ง และ ไส้เดือน ตัวโอพอสชั่มยังชอบกินผลไม้บางประเภท เช่น อาโวกาโด แอปเปิ้ล คลีเมนไทน์ พลับ และขยะที่เกิดจากกิจกรรมต่างๆของมนุษย์
พฤติกรรม
ตัวโอพอสชัม มักจะใช้ชีวิตอยู่ตัวเดียวและมีนิสัยเร่ร่อน จะอยู่ในพื้นที่ใดก็ตามที่สามารถหาอาหารและน้ำได้ง่าย จากนั้นก็จะย้ายถิ่นฐาน บางชนิดจะรวมอยู่กันเป็นกลุ่มซึ่งจะอาศัยอยู่ในโพรงที่ขุดขึ้น หรือแม้กระทั่งได้พื้นบ้าน แต่อย่างไรก็ตามหลุมที่ขุดก็ไม่ได้มีความซับซ้อนมาก เนื่องจากโอพอสชัมเป็นสัตว์ที่ออกหากินเวลากลางคืน พวกมันจึงชอบที่มืดซึ่งจะซ่อนมันให้ปลอดภัย โดยพื้นที่เหล่านั้นอาจสูงหรือต่ำกว่าพื้นดินปกติเมื่อโอพอสซัมถูกคุกคาม จะแสดงปฏิกิริยาการตอบสนองในรูปของการแกล้งตาย ซึ่งจะเป็นการแสดงอาการลอกเลียนแบบสัตว์ที่มีลักษณะป่วยหรือตาย
โดยมีลักษณะดังนี้ มีการอ้าปากออก แยกเขี้ยวให้เห็นฟัน มีน้ำลายฟูมปาก
ดวงตาจะปิดสนิทหรือบางครั้งจะปิดครึ่งหนึ่ง และมีการส่งของเหลวที่เหม็นออกมาทางต่อมบริเวณทวาร
จากนั้น โอพอสซัมก็จะนอนนิ่งและไม่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองเลย
โดยระยะเวลาการตายของมัน จะอยู่ที่ประมาณ 40 นาที
ถึง 4 ชั่วโมง ในการฟื้นตัวจากสภาพแกล้งตาย
จากนั้นก็จะกระดิกหู และกลับมาใช้ชีวิตตามปรกติ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://sites.google.com
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2559
เมียร์แคต
เมียร์แคต คือ...
เมียร์แคต (อังกฤษ: Meerkat, Suricate; ชื่อวิทยาศาสตร์: Suricata suricatta) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีขนาดลำตัวเล็ก
น้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม (2 ปอนด์)
และสูงประมาณ 50 เซนติเมตร (20 นิ้ว)
จัดอยู่ในวงศ์พังพอน (Herpestidae) มีถิ่นอาศัยอยู่ในทะเลทรายคาลาฮารีทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา
จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Suricata และแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดย่อย
เมียร์แคตมีอุ้งเล็บที่มีลักษณะโค้งเพื่อใช้ในการขุด
และมีจมูกไวมาก มีขนสั้นสีน้ำตาล มีขนเป็นแนวเส้นขนานพาดข้ามหลัง
อาศัยและหาอาหารในโพรงดินที่ขุดขึ้น โดยอาหารได้แก่ แมลงชนิดต่าง ๆ รวมถึงสัตว์มีกระดูกสันหลังตัวเล็ก ๆ อีกด้วย อีกทั้งยังสู้และกินสัตว์มีพิษต่าง ๆ ได้อีกด้วย เช่น แมงป่อง ตะขาบ งูพิษ เป็นต้น
มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่บางครั้งอาจมีสมาชิกถึง
30 ตัว
และอยู่ร่วมกับสัตว์ขนาดเล็กชนิดอื่น ๆ เช่น กระรอกดิน ไม่ชอบอยู่กับที่
ชอบยืนชะเง้อคอ เพื่อตรวจดูและดมกลิ่นในบริเวณรอบ ๆ จะออกมารับแสงแดดในช่วงเวลาเช้าเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
เมียร์แคตถือได้ว่าเป็นสัตว์มีประสาทสัมผัสและการระแวดระวังภัยที่ดีมาก
โดยเฉพาะเรื่องการรับฟังเสียงจะสามารถได้ยินเสียงในรัศมีถึง 160 ฟุต (50 เมตร) และจะอพยพย้ายที่อยู่เมื่อมีภัย
ทั้งนี้โพรงของเมียร์แคตมีความลึกลงไปในใต้ดิน
โพรงดินที่สร้างขึ้นสามารถเชื่อมต่อกัน
ทำให้มีช่องทางเข้าออกมากขึ้นและช่วยให้มีทางหลบหนีเมื่อมีภัยมา
เมียร์แคตจะขยายพันธุ์เมื่อมีอายุประมาณ
1 ปี จะออกลูกตามโพรง
ช่วงฤดูผสมพันธุ์คือเดือนตุลาคม-มีนาคม ระยะเวลาตั้งท้องประมาณ 11 สัปดาห์ ออกลูกครั้งละ 2-5
ตัว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
มาร์โมเสท
ลิงแคระ "มาร์โมเสท"
ลิงแคระ "มาร์โมเสท" ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า "ตัวเล็กสุดในโลก" มีขนาดเทียบเท่านิ้วมือ จัดเป็นสัตว์เลี้ยงที่กำลังมาแรงสำหรับกลุ่มคนมีสตางค์...
สำนักข่าต่างประเทศ
รายงานเมื่อวันที่ 6
ต.ค. ถึงลิงแคระ หรือ "มาร์โมเสท" สายพันธุ์ ปิ๊กมี่ (pygmy
marmoset) ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า
เป็นลิงตัวเล็กที่สุดในโลกขนาดตัวพอๆ กับนิ้วมือ หรือใหญ่สุดราว 5-6 นิ้ว น้ำหนักเฉลี่ย 130 กรัม เบากว่าผลแอปเปิ้ล 1
ลูก
"มาร์โมเสท" เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ส่วนใหญ่พบในป่าฝนประเทศบราซิล เป็นที่รู้จักกันในนาม ลิงกระเป๋า ลิงนิ้วมือ และสิงโตน้อยเพราะมีขนฟู
เป็นที่กล่าวถึงและได้รับความนิยมอย่างยิ่งในอินเตอร์เน็ต
และด้วยความที่มีนิสัยไม่โหดร้าย
จึงมีผู้นิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง
รวมทั้งนักเลี้ยงสัตว์หายากในประเทศไทยด้วยเช่นกัน
แต่ราคาค่อนข้างสูงตกตัวละประมาณ 100,000 บาทขึ้นไป
หรือแล้วแต่สายพันธุ์ ปัจจุบันมีทั้งผู้ได้รับใบอนุญาตนำเข้ามาจำหน่ายแบบถูกกฎหมาย
และลักลอบนำเข้า
ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://blog.eduzones.com
แพรี่ด็อก
ตัวที่จะนำเสนอต่อคือ...แพรี่ด็อก
แพรรีด็อกมีลักษณะโดยทั่วไป คือ
ใบหูเล็ก ดวงตากลมโต ฟันแข็งแรง ขาคู่หน้าจะมีเล็บที่แหลมคมและแข็งแรง
มีหน้าที่ขุดคุ้ยดินเพื่อหาอาหารและขุดโพรงอยู่อาศัย
ออกหาอาหารในเวลากลางวันซึ่งกินได้ทั้งพืชและสัตว์ จำพวกหญ้า ผัก เมล็ดพืชต่าง
ๆ รวมถึง แมลงและหนอน
รูปภาพจาก www.LivingDD.com
แพรรีด็อกมีลักษณะโดยทั่วไป คือ
ใบหูเล็ก ดวงตากลมโต ฟันแข็งแรง ขาคู่หน้าจะมีเล็บที่แหลมคมและแข็งแรง
มีหน้าที่ขุดคุ้ยดินเพื่อหาอาหารและขุดโพรงอยู่อาศัย
ออกหาอาหารในเวลากลางวันซึ่งกินได้ทั้งพืชและสัตว์ จำพวกหญ้า ผัก เมล็ดพืชต่าง
ๆ รวมถึง แมลงและหนอน มีสีขนสีน้ำตาลทอง ปลายหางมีสีดำ ส่วนของหางมีความยาว 3-4 นิ้ว เท้ามีสีครีม
ลำตัวอ้วนกลม เมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม แม้แพรรีด็อกจะเป็นสัตว์ฟันแทะวงศ์เดียวกับกระรอก
แต่จะไม่อาศัยและหากินบนต้นไม้เหมือนกระรอกทั่วไป
แต่จะหากินและทำรังด้วยการขุดโพรงอยู่ตามพื้นดินทุ่งราบและพื้นที่ที่เป็นดินโล่ง
เช่น ทุ่งหญ้าแพรรีในอเมริกาเหนือและเม็กซิโก
แพรรีด็อกเป็นสัตว์สังคม
จึงมักอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง มีตัวผู้คุมฝูง 1 ตัว ต่อตัวเมียประมาณ 4 ตัว มีความพร้อมเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 1
ปีขึ้นไป ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายนจะเป็นระยะผสมพันธุ์
ตัวเมียใช้เวลาตั้งท้องนานประมาณ 28-32 วัน (ประมาณ 1
เดือน) ออกลูกครอกละประมาณ 4-8 ตัวต่อปี
แพรรีด็อกเกิดใหม่ยังไม่ลืมตาและขนยังไม่ขึ้น กระทั่งเข้าสู่สัปดาห์ที่ 6 หรือประมาณเดือนครึ่ง มีอายุขัยโดยเฉลี่ยในตัวเมียราว 8 ปี ส่วนตัวผู้เฉลี่ยที่ 5 ปี แพรรีด็อกเป็นสัตว์ที่ขุดโพรงดินใช้เป็นที่อยู่อาศัย
ที่ในแต่ละฤดูมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเป็นอย่างมาก
โพรงที่อยู่ใต้ดินจึงต้องทนต่ออุณหภูมิที่สูงที่สุด ต่ำที่สุด
ทนน้ำท่วมรวมทั้งไฟไหม้ลามทุ่ง โดยแบ่งออกเป็นห้อง ๆ
แต่ละห้องจะอยู่ในระดับความลึกต่างระดับกัน เพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน เช่น
ห้องเลี้ยงลูกอ่อน จะอยู่ในระดับที่มีอุณหภูมิค่อนข้างคงที่
ยังมีห้องใกล้กับพื้นผิวดินที่สามารถใช้หลบบรรดาสัตว์นักล่าจากด้านบนได้อย่างรวดเร็ว
และยังมีห้องสำหรับการจัดเก็บเสบียงอาหาร
ห้องที่สามารถใช้ฟังเสียงสัตว์นักล่าซึ่งอาจมาป้วนเปี้ยนอยู่นอกโพรง
โพรงแพรรีด็อกยังมีการขยายอาณาเขตออกเป็นเมืองที่ครอบคลุมพื้นที่หลายเอเคอร์
โดยมีแพรรีด็อกประมาณ 5-35 ตัวต่อเอเคอร์
ในยุคสมัยก่อนที่มนุษย์จะเข้ามาอาศัยอยู่ในท้องทุ่ง
เคยมีแพรรีด็อกครอบครองดินแดนอยู่ก่อนอย่างมากมายมหาศาล
หนึ่งในเมืองของแพรรีด็อกที่พบในรัฐเท็กซัสเมื่อปี ค.ศ. 1900 ครอบคลุมพื้นที่ถึง 64,000 ตารางกิโลเมตร
และมีจำนวนประชากรแพรรีด็อกอยู่ถึงประมาณ 400 ล้านตัว มีพฤติกรรมทางสังคมที่มักออกมาทักทายกันเองในฝูง
ซึ่งเวลาที่เจอกันครั้งแรกจะทักทายกันด้วยการยิงฟันและแตะกันคล้ายกับการโอบกอดหรือจูบ
จากนั้นก็จะช่วยกันทำความสะอาดขนให้กันและกันแพรรีด็อกมีจุดเด่นประการหนึ่งอันเป็นที่มาของชื่อ
คือ เสียงร้องที่คล้ายกับเสียงสุนัขเห่า จึงเป็นที่มาของชื่อปัจจุบัน นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง
ขอขอขคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ชูการ์ไกลเดอร์
ต่อกันที่ ชูการ์ไกลเดอร์
ชูการ์ไกลเดอร์ หรือที่บางครั้งเรียกกันว่า จิงโจ้ร่อน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จัดเป็นสัตว์ที่อยู่ในอันดับสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องจำพวกพอสซั่ม เนื่องจากในตัวเมียจะมีกระเป๋าหน้าท้อง ใช้สำหรับให้ลูกอ่อนอยู่อาศัยจนกว่าจะโตได้ที่
ชูการ์ไกลเดอร์มีลักษณะภายนอกคล้ายคลึงกับกระรอกบินมาก แต่เป็นสัตว์คนละอันดับกัน เนื่องจากกระรอกบินเป็นสัตว์ที่อยู่ในอันดับสัตว์ฟันแทะ
ชูการ์ไกลเดอร์เป็นสัตว์ที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงตั้งแต่ 6-10 ตัวขึ้นไป และแต่ละฝูงจะมีการกำหนดอาณาเขตของตัวเองอย่างชัดเจน ซึ่งตัวผู้ที่เป็นจ่าฝูงจะมีการปล่อยกลิ่นเพื่อกำหนดอาณาเขตของตนเอง อายุโดยเฉลี่ย 10-15 ปี ตามธรรมชาติแล้ว ชูการ์ไกลเดอร์จะอาศัยอยู่บนต้นไม้ ดังนั้นจึงมีเล็บที่แหลมคมใช้เกาะเพื่อกระโดดข้ามจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง
ขนมีลักษณะนุ่มมาก บริเวณข้างลำตัวของมันจะมีพังผืด ซึ่งสามารถกางได้จากขาหน้าไปถึงขาหลังเพื่อลู่ลมเวลาร่อน เหมือนเช่นกระรอกบิน หรือบ่าง
เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน โดยอาหารหลัก คือ แมลง ส่วนผลไม้จะถือเป็นอาหารรอง เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดความยาวจากจมูกถึงปลายหางจะอยู่ที่ 11 นิ้ว
แพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่ปาปัวนิวกินี จนถึงออสเตรเลียทางซีกตะวันออก สามารถแบ่งออกได้เป็น 7 ชนิดย่อย ๆ (ดูในตาราง)
ด้วยความน่ารัก ประกอบกับเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็ก และมีอุปนิสัยไม่ดุร้ายก้าวร้าว ทำให้ชูการ์ไกลเดอร์นิยมนำมาเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง ในปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว
ชูการ์ไกลเดอร์ หรือที่บางครั้งเรียกกันว่า จิงโจ้ร่อน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จัดเป็นสัตว์ที่อยู่ในอันดับสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องจำพวกพอสซั่ม เนื่องจากในตัวเมียจะมีกระเป๋าหน้าท้อง ใช้สำหรับให้ลูกอ่อนอยู่อาศัยจนกว่าจะโตได้ที่
ชูการ์ไกลเดอร์มีลักษณะภายนอกคล้ายคลึงกับกระรอกบินมาก แต่เป็นสัตว์คนละอันดับกัน เนื่องจากกระรอกบินเป็นสัตว์ที่อยู่ในอันดับสัตว์ฟันแทะ
ชูการ์ไกลเดอร์เป็นสัตว์ที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงตั้งแต่ 6-10 ตัวขึ้นไป และแต่ละฝูงจะมีการกำหนดอาณาเขตของตัวเองอย่างชัดเจน ซึ่งตัวผู้ที่เป็นจ่าฝูงจะมีการปล่อยกลิ่นเพื่อกำหนดอาณาเขตของตนเอง อายุโดยเฉลี่ย 10-15 ปี ตามธรรมชาติแล้ว ชูการ์ไกลเดอร์จะอาศัยอยู่บนต้นไม้ ดังนั้นจึงมีเล็บที่แหลมคมใช้เกาะเพื่อกระโดดข้ามจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง
ขนมีลักษณะนุ่มมาก บริเวณข้างลำตัวของมันจะมีพังผืด ซึ่งสามารถกางได้จากขาหน้าไปถึงขาหลังเพื่อลู่ลมเวลาร่อน เหมือนเช่นกระรอกบิน หรือบ่าง
เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน โดยอาหารหลัก คือ แมลง ส่วนผลไม้จะถือเป็นอาหารรอง เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดความยาวจากจมูกถึงปลายหางจะอยู่ที่ 11 นิ้ว
แพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่ปาปัวนิวกินี จนถึงออสเตรเลียทางซีกตะวันออก สามารถแบ่งออกได้เป็น 7 ชนิดย่อย ๆ (ดูในตาราง)
ด้วยความน่ารัก ประกอบกับเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็ก และมีอุปนิสัยไม่ดุร้ายก้าวร้าว ทำให้ชูการ์ไกลเดอร์นิยมนำมาเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง ในปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
ชินชิล่า
เริ่มกันที่ชนิดแรก ชินชิล่า
ว่าแต่มันคือตัวอะไร? สงสัยกันหละสิ?
งั้นเราไปดูกันเลยว่าเจ้าตัวชินชิล่ามันคือตัวอะไรกันแน่!!!
ว่าแต่มันคือตัวอะไร? สงสัยกันหละสิ?
งั้นเราไปดูกันเลยว่าเจ้าตัวชินชิล่ามันคือตัวอะไรกันแน่!!!
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)